วันอังคารที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2560

วัน D-Day

D-Day คืออะไร
D-Day ตัว D แรก ย่อมาจากคำว่า Deliverance (ดีลิเวอแรนซ์) แปลว่าการมอบคืน ส่งคืน การปลดปล่อย
เมื่อใช้กับคำว่าเดย์ ก็หมายถึงวันที่ฝ่ายสัมพันธมิตรมอบอิสรภาพและเอกราชคืนแก่ประเทศที่ถูกเยอรมนียึดครองในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ถ้าจะจำให้ง่ายๆเข้าอีกนิด นึกถึงฉากเปิดหนังของภาพยนตร์เรื่อง Saving Private Ryan ก็แล้วกัน
ดีเดย์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ.1944 เมื่อกองทัพอเมริกันและสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่งนอร์มังดีของฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญมากของสงครามตอนนั้น
เพราะหากสัมพันธมิตรตีคืนนอร์มังดี ซึ่งกองทหารเยอรมันที่ยึดไว้ได้เมื่อไร นั่นหมายถึงว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะเข้าบุกไล่กองทัพเยอรมนีให้ถอยร่นออกไปได้
การยกพลในวันนั้นนับเป็นการยกพลครั้งใหญ่ที่สุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งในที่สุดก็ลงเอยด้วยความปราชัยของฝ่ายเยอรมนี
ทางฝ่ายสัมพันธมิตรจึงเรียกวันประวัติศาสตร์นั้นว่า "ดี-เดย์"
โดยหลังจากนั้น ฝ่ายสัมพันธมิตรก็มีกำลังใจฮึกเหิมมาก และทิ้งบอมบ์ทัพเยอรมนีอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งชนะสงครามในปี 1945
ส่วนคำที่คล้ายๆกันได้แก่ May Day "เมย์ เดย์" ตรงกับวันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี ถือเป็น "วันแรงงาน" ของผู้ใช้แรงงานทั่วโลก ส่วนที่อเมริกา แคนาดาและยุโรปตะวันตก จะนับเอาวันเดียวกันนี้เป็นเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิด้วย
แต่ may day "เมย์เดย์ เมย์เดย์" ที่เราได้ยินในหนังฉากที่นักบินหรือกัปตันเรือขอความช่วยเหลือนั้น มีที่มาอีกทาง แม้ว่าจะออกเสียงเหมือนกัน
จริงๆคำนี้ไม่เกี่ยวกับเดือนพฤษภาคมอะไร แต่มาจากภาษาฝรั่งเศสว่า m'aidez ออกเสียงว่า เมเดซ์ แปลว่ามาช่วยฉันด้วย
ประวัติของวันดีเดย์......
เหตุเกิดปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ดี-เดย์ (D-Day) คือวันที่กองทหารสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบก ที่แคว้นนอร์มังดี ตอนเหนือของฝรั่งเศส เพื่อปลดปล่อยฝรั่งเศสและประเทศยุโรปจากการยึดครองของเยอรมนี โดยยกพลขึ้นบกที่ชายหาด 5 แห่ง ของนอร์มังดีซึ่งขานรหัสว่า ยูทาห์ โอมาฮา โกลด์ จูโน และสอร์ด มีนายพลดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ เป็นผู้บัญชาการสูงสุด
6 มิถุนายน 1944 ป้อมปราการยุโรปของฮิตเลอร์ (Fortress Europe) ถูกโจมตีด้วยกำลังมหาศาลเท่าที่เคยมีมา เรือรบ 4,000 ลำ ลำเลียงทหารและยุทโธปกรณ์ ภาคอากาศ เครื่องบิน 11,000 ลำ โจมตีทิ้งระเบิดแนวป้องกันชายฝั่งอย่างหนัก ปืนเรือระดมยิงซ้ำ ขณะพลร่มโดดร่มลงภาคพื้นดิน เวลา 06.00 น. ทหารสัมพันธมิตรระลอกแรกยึดหัวหาด 4 แห่งได้โดยง่าย แต่ที่โอมาฮาเยอรมันโต้ตอบดุเดือด ความสูญเสียเกิดขึ้นมากมายก่อนภารกิจลุล่วง
จริงๆ แล้วเยอรมันรู้ล่วงหน้า แต่ไม่ทราบแน่ว่าจะยกพลขึ้นที่ใด เนื่องจากแนวชายทะเลของฝรั่งเศสด้านที่ติดกับอังกฤษนั้นยาวมาก ฮิตเลอร์เชื่อว่าจะเกิดขึ้นที่เมืองท่าคาเลซ์ ทางตอนเหนือซึ่งเป็นส่วนที่แคบที่สุดระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส แต่นายพลเออร์วิน รอมเมล แม่ทัพกลุ่มบีในประเทศฝรั่งเศส เชื่อว่าจะเกิดขึ้นบริเวณอื่น เขาสั่งการสร้างป้อมและบังเกอร์เรียงรายตามแนวชายฝั่ง เพิ่มจำนวนรังปืนกล เครื่องยิงลูกระเบิด ปืนครก บนหาดสร้างสิ่งกีดขวางเรือที่เรียกว่าเม่นทะเลและงาแซง บวกกับการติดทุ่นระเบิดและกับระเบิดอีกจำนวนมาก รอมเมลเชื่อว่าชัยชนะของการต่อต้านการยกพลขึ้นบกจะอยู่ที่ชายหาด ใครยึดหาดได้จะเป็นผู้ชนะ แต่ฮิตเลอร์มองว่า
การรบขั้นแตกหักจะอยู่บนฝั่ง คือปล่อยให้พันธมิตรขึ้นฝั่งแล้วเยอรมันเข้าบดขยี้ จึงสั่งการให้วางกำลังส่วนใหญ่ไว้แนวหลัง พร้อมเข้าเสริมกำลังที่ป้องกันชายหาด รอมเมลจึงมีกองพลทหารราบ 38 กองพล วางกำลังตั้งแต่คาเลซ์ เหนือขึ้นไปทางฮอลแลนด์ และเลยลงไปถึงชายแดนสเปน ซึ่งเป็นระยะทางยาวมากเมื่อเทียบกับกำลังทหารจำนวนเท่านั้น กำลังทางอากาศก็มีเครื่องบินขับไล่เพียง 70 ลำ เครื่องบินทิ้งระเบิด 90 ลำ และเครื่องบินอื่นๆ 160 ลำ น้อยเกินไปที่จะรับมือกับฝูงบินพันธมิตรจำนวนมหาศาล
กองกำลังพันธมิตรมีทหารราบ 39 กองพล (สหรัฐ 20 อังกฤษ 3 แคนาดา 1 ฝรั่งเศสอิสระ 1 โปแลนด์ 1) เครื่องบินขับไล่กว่า 5,000 ลำ เครื่องร่อน 2,600 ลำ เรือรบและเรืออื่นๆ กว่า 6,000 ลำ รวมทหาร 2,000,000 นาย ชัยชนะของพันธมิตรได้มาบนความเสียหายยับเยินทั้งสองฝ่าย ชีวิตทหารหมดเปลืองเรือนล้าน

สำหรับคำ ดี-เดย์ D-Day เป็นรหัส D หมายถึง deliverrance การมอบคืน ดี-เดย์คือวันมอบคืนอิสรภาพให้แก่ประเทศที่เยอรมนีตียึด

การทลายคุกบาสตีย์

การทลายคุกบาสตีย์

         พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศสก็ได้รับการกดดันอีกครั้งจากพระนางมารีอ็องตัวแน็ต และพระอนุชาของพระองค์ คือ Comte d'Artois ซึ่งจะได้เป็นพระเจ้าชาร์ลที่ 10 แห่งฝรั่งเศสในอนาคต ทำให้พระองค์ทำการเรียกกองทหารที่จงรักภักดีต่อพระองค์จากต่างประเทศ
เข้ามาประจำการในกรุงปารีสและพระราชวังแวร์ซาย ทำให้เกิดความโกรธแค้นในหมู่ประชาชน นอกจากนี้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ยังทรงปลดเนคเกร์ลงจากตำแหน่งอีกครั้ง ทำให้ประชาชนออกมาก่อจลาจลเมื่อวัน
         ที่ 12 กรกฎาคม และทลายคุกบาสตีย์ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ได้ในวันที่ 14 กรกฎาคม  หลังจากนั้นพระเจ้าหลุยส์ก็เรียกเนคเกร์มาดำรงตำแหน่งอีกครั้งในวันที่ 16 กรกฎาคม เนคเกร์ได้พบกับประชาชนที่ศาลาว่าการกรุงปารีส (l'Hôtel de Ville) ซึ่งถูกประดับไปด้วยธงสามสีคือแดง ขาว น้ำเงิน วันเดียวกันนั้น Comte d'Artois ก็ได้ทรงหนีออกนอกประเทศ ถือเป็นพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์แรก ๆ ที่หนีออกนอกประเทศในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส

         หลังจากนั้นไม่นาน เทศบาลและกองกำลังติดอาวุธของประชาชน (Garde Nationale) ก็ได้ถูกตั้งขึ้นอย่างรีบเร่งโดยประชาชนชาวปารีส ในไม่ช้าทั่วประเทศก็มีกองกำลังติดอาวุธของประชาชนตามอย่างกรุงปารีส กองกำลังนี้อยู่ใต้การบัญชาการของนายพลเดอลาฟาแยตต์ ซึ่งผ่านสงครามปฏิวัติอเมริกามาแล้ว เมื่อพระเจ้าหลุยส์เห็นว่าทหารต่างชาติไม่สามารถรักษาความสงบไว้ได้ ก็ทรงปลดประจำการทหารเหล่านั้น

ปังและเหล้าองุ่น (Bread and Wine)

        ปังและเหล้าองุ่น (Bread and Wine) 
            ปังและเหล้าองุ่น เปลี่ยนเป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซู บันดาลให้พระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนชีพประทับท่ามกลางเรา
               ปังและเหล้าองุ่นเป็นสัญลักษณ์สากลของสิ่งที่นำชีวิตให้แก่เรา คือ อาหารและเครื่องดื่ม ผู้ประพันธ์บทสดุดีขอบพระคุณพระเจ้าที่สนองความต้องการของมนุษยชาติ : พระองค์ทรงให้หญ้างอกมาเพื่อสัตว์เลี้ยงและผักให้มนุษย์ได้ดูแล เพื่อเขาจะทำให้เกิดอาหารจากแผ่นดิน และเหล้าองุ่น ซึ่งให้ใจมนุษย์ยินดี” (สดด.104.14-15)
            ดังนั้นพระคริสตเจ้าได้ทรงเลือกส่วนประกอบพื้นๆ ที่สุด ให้เป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระหรรษทานของพระองค์ คริสตชนเลี้ยงดูตัวเขาเองด้วยปังและเหล้าองุ่นซึ่งกลายเป็นพระกายและพระโลหิตขององค์พระเยซู ขณะที่พระศาสนจักรคาทอลิกและคริสตจักรออธอร์ดอกซ์สนใจการแปลงสารที่เกิดขึ้นจริงขณะเสกศีล คริสตจักรแองกลิกันและคริสตจักรลูเธอร์แรนรับความเชื่อนี้ด้วย (ความหมายที่กว้างที่สุด) ของพระคริสตเจ้า และพระเยซูไม่ได้ประทับอยู่ในแผ่นปังนั้นจริง  
           เราเห็นได้ชัดเจนว่าการแยกระหว่างพระกายและพระโลหิตของพระคริสตเจ้า เป็นสัญลักษณ์ถึงการสิ้นพระชนม์บนกางเขน การประทับอยู่จริง เป็นพยานถึงการรื้อฟื้นการถวายบูชาของศีลมหาสนิทที่พระเยซูเจ้าทรงตั้งขึ้นในระหว่างอาหารค่ำมื้อสุดท้าย พระองค์ประทานพระกายและพระโลหิตเป็นอาหารเลี้ยงดูสัตบุรุษตามพระดำรัสของพระคริสตเจ้าที่ว่า ผู้ที่กินเนื้อของเราและดื่มโลหิตของเราก็มีชีวิตนิรันดร เราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้ ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเราก็ดำรงอยู่ในเรา และเราก็ดำรงอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงชีวิตทรงส่งเรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาฉันใด ผู้ที่กินเนื้อของเรา จะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น” (ยน 6:54-57)

ใครที่รับศีลมหาสนิทก็จะได้รับชีวิตของพระเยซูโดยอาศัยพระบิดาและดังนั้นโดยอาศัยธรรมล้ำลึกแห่งพระตรีเอกภาพที่รวมความรักพระบิดา พระบุตรและพระจิตเป็นหนึ่งเดียวกัน เราได้รับเชิญให้ร่วม โต๊ะศักดิ์สิทธิ์และได้รับการต้อนรับในฐานะการรับเชิญให้ร่วมชีวิตของพระเยซูที่ทรงเป็น พระบุตรซึ่งทรงเป็นพระบุคคลที่สำคัญในพระตรีเอกภาพ
             แผ่นปังทำศีลมหาสนิทประกอบด้วยขนมปังแผ่นบางไร้เชื้อ (ยีสต์) เรียกว่า แผ่นศีล คำนี้เชื่อมโยงระหว่างศีลมหาสนิทกับเครื่องบูชา เพราะคำในภาษาลาติน คือ hostia หมายถึง เหยื่อบูชายัญ และนี่เป็นเครื่องหมายที่นักบุญเปาโลใช้ เพื่อกล่าวถึงพระคริสตเจ้า (1)     ขนมปังไร้เชื้อเป็นขนมปังชนิดเดียวที่จารีตของชาวยิวอนุญาตให้ใช้ในงานเลี้ยงปัสกา (2) เพราะฉะนั้นพระเยซูเจ้าทรงเสกในมื้ออาหารค่ำสุดท้าย ด้วยเหตุนี้พระศาสนจักรโรมันคาทอลิกไม่อนุญาตให้เสกขนมปังธรรมดา ผิดกับพระศาสนจักรออธอร์ดอกซ์ที่เฉลิมฉลองศีลมหาสนิทด้วยขนมปังใส่เชื้อ มีการถกเถียงกันเกี่ยวกับธรรมเนียมที่แตกต่างออกไป โชคดีที่พ้นความขมขื่นในช่วง 2 ศตวรรษที่ผ่านมาได้
ในพระศาสนจักรตะวันตก มีความแตกต่างเรื่องขนาดของแผ่นศีล คือ แผ่นเล็กสำหรับแจกสัตบุรุษสะดวกในการแจกและรับ และแผ่นใหญ่สำหรับพระสงฆ์ เพื่อจะเห็นแผ่นศีลง่ายเมื่อชูขึ้นหลังจากการเสก ปัจจุบันนี้มีการผลิตแผ่นศีลให้หนาขึ้นและใส่สีให้เห็นเป็นสีทองมากกว่าสีขาวเวลาอบแผ่นปัง
                 ตอนต้นของมิสซา พระสงฆ์วางแผ่นศีลที่ได้รับการเสกบนจานรองแผ่นศีล  (มาจากภาษาละติน patena “จานก้นตื้น”) มีลักษณะเป็นจานกลม โค้งออกข้างนอก และทำด้วยโลหะที่มีค่าเช่นทองหรือเงิน ส่วนใหญ่เป็นผลงานชิ้นเอกของช่างทองเลยทีเดียว เช่นเดียวกับ ผอบศีล (Ciborium) (จากคำกรีก kiborion “ผลของดอกบัวเพราะผอบศีลมีลักษณะคล้ายผลไม้ประเภทนี้) สำหรับวางแผ่นศีลเพื่อแจกประชาสัตบุรุษ ผอบศีลมีลักษณะเป็นถ้วยครึ่งทรงกลม มีฝาปิดซึ่งส่วนใหญ่มีกางเขนประดับบนฝา เมื่อมิสซาจบ จะนำผอบศีลไปเก็บไว้ในตู้ศีล เพื่อเก็บ ศีลศักดิ์สิทธิ์ที่สำรองไว้คือ แผ่นศีลที่เสกแล้วเหลือจากการแจกสัตบุรุษ จะมีผ้าคลุมผอบศีล “ Canopy” ซึ่งเป็นผ้าที่มีลักษณะกลม
              ระหว่างการนมัสการศีลมหาสนิท แผ่นศีลที่เสกแล้วจะตั้งแสดงให้สัตบุรุษแสดงคารวกิจในรัศมี (monstrance มาจากคำละติน monstrare แปลว่า แสดงให้เห็น”) ประกอบด้วยแผ่นเงินหรือแผ่นทองประดับลวดลายที่เป็นจุดสำคัญของศิลปะตรงกลางเป็นฐานวงกลม (ดวงจันทร์ขนาดเล็ก) ประดับด้วยแผ่นกระจก 2 แผ่น สำหรับวางแผ่นศีล รัศมีจะมีลวดลายเหมือนดวงอาทิตย์เรืองแสงรอบศีลศักดิ์สิทธิ์
            ถ้าไม่ตั้งแสดงศีลศักดิ์สิทธิ์ให้สัตบุรุษนมัสการ ก็จะเก็บแผ่นศีลไว้ในตู้ศีลในกล่องโลหะที่เรียกว่า กล่องเก็บศีล (มาจากคำละตินว่า Custodire แปลว่า เก็บหรือ pyx (มาจากคำว่า pyxis แปลว่า กล่อง”) กล่องนี้เป็นชื่อของกล่องกลมที่ใช้เก็บศีลมหาสนิทสำหรับไปส่งศีลให้คนป่วย
            กฎหมายของพระศาสนจักร ได้อธิบายเกี่ยวกับเหล้าองุ่นที่ใช้ในบูชามิสซา เหล้าองุ่นต้องมีลักษณะธรรมชาติ ทำจากผลองุ่นของต้นองุ่น และไม่เน่าเปื่อย” (กฎหมายพระศาสนจักรข้อ 924) ดังนั้น ต้องเป็นการหมักน้ำองุ่นบริสุทธิ์ ระหว่างมื้ออาหารค่ำสุดท้าย พระเยซูทรงแปลงสาร ผลของต้นองุ่นเป็นพระโลหิตในตอนท้ายของการรับประทานอาหาร มื้ออาหารปัสกาตามธรรมเนียมแล้วประกอบด้วยถ้วยใส่เหล้าองุ่น 4 ใบ และเป็นถ้วยที่ 4 เรียกว่า ฮัลเลล Hallel (คำสรรเสริญสดุดีในบทสดุดีที่ 114-117) ซึ่งพระคริสตเจ้าทรงใช้ในขณะกล่าวบทเสกศีล (3)
              เมื่อย้อนเวลาไปถึงช่วงพันธสัญญาเดิม เหล้าองุ่นเป็นสัญลักษณ์พื้นฐานหนึ่งของงานเลี้ยงฉลองพระเมสสิยาห์ (พระผู้ไถ่) ตามคำกล่าวของประกาศกอิสยาห์ที่ว่า เหล้าองุ่นกรองอย่างดี”(อสย.25.6) การถวายบูชาขอบพระคุณและ ศีลมหาสนิททำให้มื้ออาหารค่ำสุดท้ายและการพลีบูชาที่เนินเขากัลวารีโอเป็นจริง สำหรับเรา โดยทำให้สัตบุรุษได้ชิมลางล่วงหน้าถึงงานฉลองพระอาณาจักรที่จะมาถึง
            เพราะโดยทั่วไปการเสกศีลระหว่างมิสซา พระศาสนจักรโรมันใช้เหล้าองุ่นขาวเพื่อที่จะไม่เปื้อนอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเหล้าที่หกจะติดเนื้อผ้า ประธานในพิธีจะรินเหล้าองุ่นลงในจอกกาลิกส์ (มาจาก คำกรีกว่า kylix, ภาษาละติน คือ calix แปลว่า ถ้วยสำหรับดื่ม”) ที่ทำด้วยทองเนื้อดี ลวดลายของจอกกาลิกส์เปลี่ยนไปตามยุคสมัยต่างๆ ปกติประดับด้วยเครื่องหมายของศีลศักดิ์สิทธิ์หรือข้อความจากพระคัมภีร์
           เวลาผลิต จะใช้รูปปังและเหล้าองุ่นเป็นเครื่องหมายของความเป็นหนึ่งเดียวของประชาสัตบุรุษที่รับศีลศักดิ์สิทธิ์ มีการอธิบายข้อเท็จจริงดังกล่าวในตำราของคริสต์ศาสนาเริ่มแรก ชื่อ ดีดาเค Didache หรือ คำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับคนต่างศาสนาซึ่งนับย้อนไปตอนปลายคริสต์ศตวรรษแรก ขณะปังที่ถูกบินี้ ซึ่งครั้งหนึ่งเมล็ดของมันได้รับการหว่านไปทั่วเนินเขา ถูกนำมารวมกันถวายเป็นปังก้อนเดียว ขอให้พระศาสนจักรของพระองค์ได้รับการรวมเข้าด้วยกัน จากปลายแผ่นดินโลกสู่อาณาจักรของพระองค์ เช่นเดียวกัน อาจกล่าวได้ว่า องุ่นจำนวนมหาศาลถูกคั้นด้วยกัน กลายเป็นเหล้าองุ่นเดียว ดังนั้น สัตบุรุษจึงได้บิปังและดื่มถ้วยแห่งความรอด ในอีกแง่หนึ่ง การรับประทานปังของพระคริสต์และดื่มโลหิตของพระองค์ ก็จะเติบโตเป็นสมาชิกที่มีวุฒิภาวะของพระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้า (4) ซึ่งเป็นพระศาสนจักรของพระองค์
          เมื่อเรากล่าวถึงศีลมหาสนิท เราควรกล่าวอ้างถึงธรรมเนียมที่กลับมีชีวิตชีวาอีก บทภาวนาอวยพรตอนเริ่มรับประทานอาหาร และวอนขอพระหรรษทานในตอนท้ายของการรับประทานอาหาร นี่เป็นจารีตของชาวยิวด้วย มาจากคำอวยพรหรือ berakoth ที่หมายถึง ช่วงเวลาต่างๆของวัน พิธีของครอบครัวที่เป็นบทอวยพรในมื้ออาหารที่เรียกว่า Birkat-her-Mazon มีความสำคัญมาก ขอถวายพระพร องค์พระผู้เป็นเจ้า พระราชาแห่งจักรวาล พระองค์ทรงเลี้ยงโลกจากพระเมตตากรุณา ความอ่อนโยน พระหรรษทานและทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งดีระหว่างภาคถวายในมิสซาของคาทอลิก มีบทสวดภาวนา 2 บท เกี่ยวกับปังและเหล้าองุ่น เป็นพระพร ถึงแม้พระพรของมื้ออาหารเป็นพื้นฐาน ของศีลมหาสนิทของคริสตชนที่มีความลึกซึ้งกว่าก็ตาม
             คริสตชนต้องรักษาประโยชน์ที่พระเจ้าประทานความรักที่ถาวรลงภายในจิตใจของตน และขอบพระคุณพระองค์เสมอ ถึงแม้ว่าหนทางที่พระองค์โปรดให้เราเดินตามนั้นจะเต็มไปด้วยความยากลำบากก็ตาม (ซึ่งความจริง เป็นความหมายดั้งเดิมของคำว่า ศีลมหาสนิท”) ผ่านทางพระเยซูคริสตเจ้า ตามที่นักบุญเปาโลได้กล่าวว่า พระหรรษทานมาถึงเราโดยอาศัยพระเยซู ขอถวายพระพรแด่พระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์ทรงอวยพระพรแก่เราโดยประทานพระพรนานาประการ ของพระจิตเจ้าจากสวรรค์เดชะพระคริสตเจ้า” (อฟ 1:3)
           คริสตชนจะเคารพต่อปังและต่อสิ่งที่มีความหมายในพระศาสนจักร ศีลมหาสนิทสามารถเปลี่ยนแปลงมนุษย์ได้ เป็นธรรมเนียมของคริสตชนที่ไม่ทิ้งเศษของแผ่นปัง และก่อนจะตัดขนมปัง ต้องทำเครื่องหมายกางเขนที่ขนมปังก่อน



ประวัติ จุดกำเนิดของศาสนาคริสต์

ประวัติ จุดกำเนิดของศาสนาคริสต์

          หลายคนอาจจะคิดว่า จุดกำเนิดของศาสนาคริสต์ ต้องมาจากทวีปยุโรปแน่นอน แต่ความคิดนั้นผิดถนัด ศาสนาคริสต์นั้นกำเนิดครั้งแรกในทวีปเอเชียบริเวณดินแดนเลแวนด์ ปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ได้เผยแผ่จะมาเจริญรุ่งเรืองในประเทศตะวันตก แต่ช่วงเผยแผ่ศาสนาได้ถูกต่อต้านโดยศาสนายิว แต่ถึงอย่างไรก็ได้ต่อสู้ยืนหยัดมาอย่างต่อเนื่อง จากประเทศตะวันตกในสมัยนั้น

         พระเยซูมีเชื่อสายเป็นชาวยิว เมื่อในเยาว์วัยพระเยซูสนใจเรื่องศาสนธรรมและเป็นคนที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เมื่ออายุครบ 30 ปี ได้ไปท่องเที่ยวที่ดินแดนปาเลสไตน์ ริมแม่น้ำจอร์แดน ทรงได้มาพบกับยอห์น ( เป็นนักเทศน์ชาวยิว เป็นผู้เผยพระวจนะในสี่ศาสนา นั้นก็คือ ศาสนาอิสลาม ศาสนาบาไฮ ศาสนาคริสต์ และ Mandaeanism )แล้วให้บัพติศมา หลังจากได้บัพติมาแล้ว พระองค์ทรงได้เดินทางไปถิ่นทุระกันดารด้วยตัวคนเดียว พระเยซูปฏิบัติศิลอดเป็นระยะเวลา 40 วัน จากนั้นก็เริ่มเทศนาทั่วประเทศ เพื่อหนทางได้พบแสงสว่างรอดพ้นจากบาปไปชั่วนิรันดร์ซึ่งจุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อล้มล้างศาสนาเดิม แต่ทำให้ศาสนายูดายสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยเน้นเรื่องความรักของพระเจ้าและความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ในตอนนั้นคำสอนของพระเยซูมีกลุ่มผู้สนใดมากได้แก่คนยากคนจนและชาวประมง พระองค์ได้คัดเลือกคน 12 คน เพื่อมาเป็นสาวกติดตามรับใช้ระหว่างเดินทางไปเผยแผ่ศาสนา
        แต่ถึงอย่างไรนั้น ยูดาส อิสคาริออท ได้ทรยศเพื่อเห็นแก่เงินสินบน ทั้งหมดนี้มีส่วนทำให้ ยูดาย ขุนนาง และ คนที่มีฐานะร่ำรวย เกิดความไม่พอใจอย่างมากจึงเกิดความแค้นได้คิดหาทางทำร้ายร่างกายนั้น ด้วยการใส่ร้ายพระเยซูจึงถูกจับตัวไปที่ศาลของเมืองชาวโรมันแล้วยูดายได้ชี้ตัวพระเยชู ส่วนสาวกทั้ง 11 คนนั้นได้หลบหนีไปได้ โดยทิ้งให้พระเยซูถูกลงโทษด้วยการตรึงไว้กับไม้กางเขนอย่างโหดร้ายทรมานจนถึงแก่ชีวิตในเวลาต่อมา เมื่ออายุเพียง 33 ปี เท่านั้น