วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

La chandeleur

               วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ชาวฝรั่งเศส เบลเยียมและสวิสเซอร์แลนด์จะการฉลองวันทางศาสนาที่เรียกว่า la chandeleur (ลา ชองเดอเลอรฺ) เป็นวันที่พระมารดาได้ถวายพระบุตรแด่พระผู้เป็นเจ้า และถือเป็นวันที่ชาวคริสต์สรรเสริญความบริสุทธิ์ของพระแม่มารีด้วย
ตามประเพณี พวกเขาจะทอดแป้งเครป (la crêpe อ่านว่า ลา แครป)กินกันในวันนี้ เพื่อต้อนรับการกลับมาของฤดูใบไม้ผลิ เนื่องจากเครปมีลักษณะวงกลมสีเหลืองทองเป็นสัญลักษณ์แทนดวงอาทิตย์ ที่จะนำพาความสดใสและอุดมสมบูรณ์นั่นเองค่ะ


                 

L'Epiphanie le 6 janvier


                ทุกวันที่ 6 ของเดือนมกราคม คนฝรั่งเศสจะชอบทานขนมพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว แต่ไม่ใช่ว่าจะทานขนมอะไรก็ได้นะคะ เพราะในวันนี้เป็นวันของ Galette des Rois หรือขนมแห่งกษัตริย์ ถ้าใครไปเที่ยงฝรั่งเศสในช่วงเดือนมกราคม ก็จะเห็นขนมชนิดนี้วางขายอยู่ในร้านขายขนมปังทุกร้านเลย หรือบางทีเวลาเดินสวนกันกับเด็กที่เพิ่งกลับจากโรงเรียนก็จะเห็นเด็กบางคนบางคนสวมมงกุฎกลับมาด้วย วันนี้นานาวีดีโอจะเล่าประวัติความเป็นมาของวันที่ใครๆก็สามารถเป็นกษัตริย์หรือราชินีได้ และก็เรียนคำศัพท์ภาษาฝรั่งเศสที่เกี่ยววัฒนธรรมนี้ไปด้วยนะคะ
Galette des Rois เป็นขนมที่มีขายในเทศกาล L’epiphanie ซึ่งมีต้นกำเหนิดมาตั้งแต่สมัยโรมัน โดยจะมีขึ้นในทุกวันที่ 6 ของเดือนมกราคม หรือ 12 วันหลังจากที่พระเยซูประสูติเพื่อเป็นรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ 3 นักแสวงบุญเมไจ (Mages) หรือที่คนสมัยนั้นนับถือกันว่าเป็นกษัตริย์แห่งกรุงบาบิลอน ทั้งสามเป็นผู้ที่ปราดเปรื่องเรื่องดวงดาว เมื่อพวกเขามองเห็นดวงดาวแห่งเบธเลเฮมก็เกิดความศรัทธาและรู้ทันทีว่าผู้มีบุญหรือกษัตริย์องค์ใหม่ของชาวยิวได้จุติลงมาเกิด พวกเขาจึงเริ่มออกเดินทางตามหา โดยนักบุญทั้งสามได้นำของที่ประเมินค่ามิได้ไปมอบเป็นของขวัญแด่พระผู้เป็นเจ้าของของพวกเขาด้วย ดังที่เราอาจจะพบได้บ่อยๆในภาพวาดของกษัตริย์ทั้งสามพระองค์กำลังโค้งคำนับพระเยซูในขณะที่ยังเป็นทารก
Galette des Rois หรือ ขนมแห่งกษัตริย์ เป็นขนมที่ทำมาจากแป้งพัฟหลังจากอบแล้วจะเป็นแผ่นบางๆกรอบหลายแผ่นซ้อนกันภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า La pâte feuilletée คล้ายๆกับครัวซองค์แต่กรอบกว่าและรสชาตินุ่มนวล ไส้ข้างในเป็นอัลมอลล์กวน หรือที่คนฝรั่งเศสเรียกกันว่า La frangipane รสชาติอร่อยนุ่มลิ้น ถ้าไส้เป็นแอปเปิ้ลหรือผลไม้อบแห้งหั่นเป็นชิ้นเล็กๆเรียกว่า La brioche (des fruits confits) บางทีก็มีไส้ช็อคโกแลตด้วยนะคะ ก่อนรับประทานแนะนำให้เอาไปอุ่นในเตาอบก่อนจะอร่อยมากเลย ข้างในขนมจะมีความลับซ่อนอยู่ ความลับที่ว่าก็คือตอนทำขนมเค้าจะใส่ตุ๊กตาเล็กๆไว้ในไส้ โดยตุ๊กตาที่ว่านี้ในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า Une fève ซึ่งอาจจะทำมาจากเซรามิคหรือพลาสติก เคยได้ยินว่ามีแบบที่ทำมาจากทองคำด้วย และก็มีเด็กๆหลายคนที่ชอบสะสม La fève โดยขนมชนิดนี้จะขายมาพร้อมกับมงกุฏกระดาษสีทอง (Une couronne) แต่ปีนี้ Boulanger หรือร้านขายขนมปังใกล้บ้านเค๊าทำเป็นสีชมพูแปร๋นเลย ที่ซื้อมาวันนี้เป็นขนาดสำหรับรับประทานกัน 4 คน ราคาอยู่ที่ 15.95 ยูโรคิดเป็นเงินไทยก็ราคาประมาณ 630 บาท
กฏหรือวัฒนธรรมในการกินขนมแห่งกษัตริย์
จะให้เด็กที่อายุน้อยที่สุดในบ้านไปหลบอยู่ใต้โต๊ะ จากนั้นพ่อหรืแม่ก็จะหั่นขนมออกเป็นชิ้นเท่าๆกันตามจำนวนสมาชิกในบ้าน แล้วจะให้เด็กที่ลงแอบอยู่ใต้โต๊ะเป็นคนตัดสินใจว่าขนมแต่ละชิ้นจะเป็นของใคร เช่นชิ้นแรกให้พ่อ ชิ้นที่สองให้พี่ พอทุกคนได้ขนมแล้วเด็กก็จะออกมาจากที่ซ่อนและทุกคนลงมือทานขนมพร้อมๆกัน ถ้าขนมของใครมี La fève อยู่ข้างใน คนนั้นก็จะได้สวมมงกุฎและเป็นกษัตริย์ และแน่นอนกษัตริย์ก็ย่อมเลือกควีนของตัวเองได้บางร้านก็อาจจะให้มงกุฏมา 2 อัน ในบ้างครั้งก็อาจจะมี La fève ใส่มาในขนม 2 ชิ้นโดยชิ้นที่สองนี้มักจะทำมาจากถั่ว ถ้าใครได้ชิ้นไปก็ต้องเป็นคนออกไปซื้อขนมกษัตริย์มาทานกันอีกเป็นกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีในครอบครัว ที่ทั้งสนุกและอร่อย ทีนี้เรามาเรียนภาษาฝรั่งเศสกันนะคะ
คำที่มักจะถามกันบ่อยๆก็คือ
Qui sera le roi? ใครจะได้เป็นกษัตริย์
Qui sera la reine? ใครจะได้เป็นราชินี
Celle-ci c’est pour qui? ขนมชิ้นนี้ให้ใคร (คำถามที่ถามเด็กที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ)
J’ai trouvé la fève! ฉันพบ fève แล้ว!
J’ai la fève! ฉันได้ fève!
Tirer les rois. หรือ Tirer au sort. หมายถึงการกินขนมแห่งกษัตริย์แล้วก็กลายเป็นกษัตริย์
น่าสนุกดีนะคะ แต่อย่าขี้โกงแอบดู la fève ก่อนทานแบบที่เด็กๆชอบทำกัน ในเมืองไทยโรงแรมที่มีอาหารฝรั่งเศสก็มีขนมชนิดนี้ขายในช่วงเดือนมกราคมด้วยนะค่ะ

Vincent Van gogh


ฟินเซนต์ ฟาน ก็อกฮ์ (Vincent Willem van Gogh) หรือรู้จักในไทยในชื่อ วินเซ้นต์ แวน โก๊ะ (30 มีนาคม พ.ศ. 2396  29 กรกฎาคม พ.ศ. 2433)
ฟาน ก็อกฮ์ เกิดที่ เมืองบราบัง ตำบลซันเดิร์ต ประเทศฮอลแลนด์ (เป็นเมืองที่ติดกับชายแดนเบลเยียม) ในปี 1853 วันที่ 30 มีนาคม มีพ่อเป็นนักบวช ในศาสนาคริสต์ มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 6 คน เป็นชนชั้นกลางที่มีชีวิตแบบแคบๆ ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ดูเงอะงะ ไม่คล่องแคล่วเหมือนคนมีปมด้อย ค่อนข้างใจน้อย จึงชอบอยู่คนเดียว และมีอารมณ์ที่อ่อนไหวง่าย อ่อนโยน มีความเมตตาต่อคนทุกข์ยาก ทำให้ทุกคนมองเขาว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์ น่ารำคาญ เมื่ออายุได้ 16 ปี เขาได้เข้าทำงานที่ ห้องภาพแห่งหนึ่งที่กรุงเฮก กับญาติที่ทำงานด้านศิลปะ และเมื่อเขามีอายุได้ 18 ปี เขาก็ถูกส่งตัวไปยังห้องภาพที่ สาขาปารีส ด้วยความที่เขาเป็นคนซื่อ และความเบื่อหน่ายที่ทางห้องภาพเอารูปเลวๆ มาหลอกขายกับคนที่ไม่รู้จักศิลปะ เขาถึงกับบอกให้ลูกค้าไม่ให้ซื้อภาพนั้น จนกระทั่งทางร้านไม่พอใจไล่เขาออกจากงานในที่สุด
หลังจากนั้น เขาจึงหันไปศึกษาทางศาสนาอย่างจริงจัง หลังจากสอบเข้าวิทยาลัยศาสนาที่นครอัมสเตอร์ดัม ได้ 14 เดือนเขาพบว่าไม่ได้อะไรตามที่เขาตั้งใจจึงเลิกเรียนเสียและได้ย้ายไปอยู่ในเหมืองถ่านหิน ในตำบลบอริเนจ เพื่อเทศนาสั่งสอน ช่วยเหลือคนทุกยาก ในเหมืองนั้น โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เขาอุทิศเงินจำนวนหนึ่งให้กับคนทุกยากโดยที่ตนเองมีเงินใช้อย่างจำกัด และต้องกินเศษขนมปัง ทำให้ร่างกายผอมลง และเป็น พิษไข้ เพราะการที่บริโภคที่ผิดอนามัยและความหนาวเหน็บจากกองไฟกองเล็กที่ไม่อาจสู้กับความหนาวเย็นของอากาศได้ ทำให้ความงกๆ เงิ่นๆ ของเขามีมากยิ่งขึ้น
ฟาน ก็อกฮ์ เป็นคนที่พูดไม่เก่งทำให้การเทศนาสั่งสอนของเขาไม่อาจจับจิตชาวเหมืองได้ ประกอบกับความใจบุญของเขาทำให้คนเหล่านั้นมอง ว่าเขาเป็นคนแปลกแตกต่างจากคนเหมืองทำให้เขาเศร้าใจมาก และศาลพระก็ไม่ยอมแต่งตั้งให้เขาเป็นนักเทศน์ ในที่สุดชีวิตของเขาต้องเร่ร่อนไปอย่างไร้จุดหมาย เขาไม่ยอมแม้กระทั่งที่จะเขียนจดหมายถึง เธโอ น้องชายคนสนิท
จนกระทั่ง ปี ค.ศ. 1880 เขาได้เขียนจดหมายมาบอกกับ เธโอ น้องของเขาว่า เขาค้นพบแล้วว่า "ศิลปะคือ ทุกสิ่งทุกอย่างของเขา และเข้ามาแทนที่สิ่งอื่นๆจนหมด เขาใช้เวลาเพื่อศึกษามันด้วยตนเองอย่างจริงจัง ก่อนหน้านั้นเขาเคยเขียนรูปมามั่งแต่ไม่จริงจังเท่าไหร่ แต่หลังจากนี้ต่อไปมันคือ ชีวิตจิตใจของเขา" (จดหมายที่ ฟาน ก็อกฮ์ เขียนถึงน้องชายของเขา ต่อมาในปัจจุบันก็เป็นที่ต้องการและมีความสำคัญมากต่อการชมงานศิลปะของเขา)
ฟาน ก็อกฮ์ ใช้ชีวิตอยู่บนเส้นทางสายศิลปะ อย่างลำบากยากแค้น เขายิงตัวเองเข้าทางสีข้างด้านซ้าย ในวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม ปี 1890 หลังจากการเขียนรูปทางสามแพร่ง (Wheat Field with Crows) (งานชิ้นนี้อาจจะสื่อถึงการหาทางออกให้กับของชีวิตของเขาเอง ที่เปรียบเสมือนทาง 3 สายที่มาบรรจบกันทำให้เลือกไม่ถูกว่าจะไปทางใดต่อ) ซึ่งเป็นงานชิ้นสุดท้ายของเขาที่ทุ่งนา แต่เขาไม่เสียชีวิตทันที โดยเขาได้เอามือกดปากแผลไว้และเดินกลับมาที่ร้านกาแฟที่เขาพัก
ฟาน ก็อกฮ์ สิ้นใจในวันอังคารที่ 29 กรกฏาคม ปี 1890 ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของเพื่อนๆ ศพของเขาถูกฝังไว้ในสุสานเล็กๆที่เมืองอูฟเวรซูอีรัว ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส
หลังจากนั้นอีก 1 ปีต่อมา เธโอ น้องชายก็สิ้นใจตายตามพี่ชายของเขาเนื่องจากโรคไต ศพของ เธโอ ถูกฝังที่นี่ และในอีก 23 ปีต่อมาภรรยาของเธโอ จึงย้ายศพของเขาบางส่วนมาฝังไว้ใกล้ๆศพของ ฟานก็อกฮ์
ในที่สุดพี่น้องที่รักกันมาก ก็ได้มาอยู่ด้วยกันในสุสานเล็กๆ ที่เมืองอูฟเวรซูอีรัว อย่างสงบสุขตลอดกาล

ผลงาน



Starry Night Over The Rhone วาดในปี ค.ศ.1888
           วินเซนต์ แวน โก๊ะ ได้ใช้เวลาเกือบหนึ่งปีเต็มในการเขียนรูป " Starry Night " ขึ้นมาภาพนี้ได้ แสดงถึงภาพของดวงดาวที่ส่องแสงเจิดจรัสท่ามกลางความมืดมิดในยามค่ำคืน เพื่ออวดรัศมีแข่งกับแสงสว่างอันจอมปลอมที่ส่องจากตึกรามบ้านช่องบนริมฝั่งของแม่น้ำ ภาพของหนุ่มสาวที่เดินเคียงคู่กันในด้านหน้าของภาพนั้นคล้ายกับภาพของคู่หนุ่มสาวในภาพ " Landscape with Couple Walking and Crescent Moon " ภาพทั้งสองภาพนี้ วินเซนต์ได้เขียนรูปชายที่เดินเคียงข้างหญิงสาวผู้นั้น แทนตัวของเขาเอง โดยสามารถสังเกตได้จากผมของชายในภาพซึ่งเป็นสีแดงเหมือนกับผมของตัวเขาแต่ต่างกันที่ในชีวิต จริงของวินเซนต์แล้ว เขาหาได้มีหญิงสาวใดมาเดินเคียงข้างเขาไม่

The Starry Night วาดในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1889 
เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนพื้นผ้าใบ 
วินเซนต์ได้กล่าวถึงภาพ " Starry Night " นี้ว่า "ฉันกำลังประสบกับปัญหาอย่างมากใน การเขียนภาพของยามค่ำคืน ถ้าพูดให้ถูกแล้วก็คือ การถ่ายถอดภาพลงบนผืนผ้าในเวลา กลางคืนก็ได้ " ภาพของแสงสีในยามค่ำคืนนั้น เป็นภาพที่เขาใฝ่ฝันอยากเขียนขึ้นและความฝันของเขาก็ได้กลายมาเป็นความจริง เมื่อเขาตัดสินใจย้ายมา อยู่ที่เมืองอาเรส ในเดือนกุมภาพันธ์ของปี ค.ศ. 1888 ในจดหมายเขาได้กล่าวไว้ว่า 

" ในชีวิตของจิตกรแล้ว ความตายอาจไม่ใช่ความยากลำบากที่สุดในชีวิต ฉันสามารถพูดได้ว่า ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย แต่เมื่อฉันได้มองดูดวงดาวแล้ว ฉันก็เริ่มนึกคิดจุดดำมืดที่แสดง ถึงภาพของเมือง และหมู่บ้านในแผนที่ ทำให้ฉันคิดว่าทำไมมนุษย์เราถึงได้ให้ความสำคัญของ จุดดำมืดที่อยู่บนแผนที่ของฝรั่งเศษ มากไปกว่า แสงสว่างอันแท้จริงที่ส่องตรงมาจากสวรรค์ มันก็คงเหมือนกับการที่เราเลือกไป รถไฟเพื่อจะไปยังทาราสคอน หรือโรน หรือเราจะเลือก เอาความตายเพื่อจะไปให้ถึงดวงดาวบนฟ้านั่น "

Vincent’s Bedroom
ตั้งแต่วินเซนต์ได้ทราบข่าวจากโกแกง ว่าเขาจะเดินทางมาร่วมกับ วินเซนต์ที่บ้านสีเหลืองนี้ วินเซนต์ก็ได้จัดเตรียมทุกอย่างเพื่อคอย การมาของเพื่อนของเขา เขาตกแต่งบ้านเสียใหม่โดยเขียนภาพอีก หลายภาพขึ้นเพื่อใช้ตกแต่งฝาผนัง และห้องนอนของโกแกง ภาพห้องนอนของวินเซนต์นี้ เมื่อตอนที่เขาอยู่ที่เซนต์เรมี ได้สร้างภาพจำลองขึ้น อีกสองภาพจากภาพต้นฉบับจริงที่เขาเขียนขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมของ ปี ค.ศ.1888 ในขณะที่เขากำลังรอคอยให้โกแกงมาพักอยู่ด้วย วินเซนต์ได้ยกย่องให้ภาพนี้เป็นหนึ่ง ในภาพที่ดีที่สุดของเขา โดยได้เขียนบรรยายไว้ในจดหมายถึง ธีโอพี่ชายของเขาว่า

" ถ้าจะให้พูดถึงภาพนี้แล้ว การได้มองดูภาพนี้ก็เปรียบเสมือนการได้พักผ่อนสมอง และปลดปล่อยจินตนาการให้เพ้อฝันไกลออกไป " ภาพห้องนอนของวินเซนต์ได้กลายมา เป็นภาพที่มีชื่อเสียงในทางศิลปะ ความเรียบง่ายของภาพ แสดงให้เห็นถึง ครรลองของชีวิตที่สมถะ และเรียบง่าย หรือในอีกแง่หนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า ภาพนี้ได้แสดงถึงมุมมองของ ศิลปินในยุคโรแมนติคผู้หนึ่ง ซึ่งอุทิศชีวิตทั้งชีวิตเพื่อทุ่มเทให้กับงานศิลปะเท่านั้น









Michelangelo

ไมเคิลแองเจโล Michelangelo

                 ไมเคิลแองเจโล หรือ มีเกลันเจโล ดี โลโดวีโก บูโอนาร์โรตี ซีโมนี 

 (Michelangelo di Lodovico Buonarroti Simoni)

เป็นหนี่งในศิลปิน ในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ หรือ  ยุคเรเนอซองส์ Renaissance เป็นจิตรกร


สถาปนิก และประติมากรชื่อดังชาวอิตาลี  เกิดเมื่อ วันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1475  ที่หมู่บ้าน

คาเปรเซ (Caprese)เมืองฟลอเรนซ์ แคว้นทัสคานี  ประเทศอิตาลี

และได้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.1564 


ช่วงชีวิตของ ไมเคิลแองเจโล

- เกิด 6 มีนาคม ค.ศ. 1475

- เติบโตที่เมืองฟลอเรนซ์  คาเปรเซ เมืองฟลอเรนซ์ แคว้นทัสคานี  ประเทศอิตาลี

- บิดา ชื่อ Ludovico di Leonardo di Buonarotto Simoni เป็นเจ้าหน้าที่รัฐในหมู่บ้าน 

- มารดาชื่อ  Francesca di Neri del Miniato di Siena

- เมื่อไมเคิลมีอายุได้ 13 ปี พ่อเขาส่งเขาไปฝึกงานด้านศิลปะ กับพี่น้องเจอร์ลันดาร์จ 

- ไมเคิลแองเจโล สร้างประติมากรรมรูปเดวิดจากหินอ่อนตอนอายุ 26 ปี

- รูปปั้นเดวิด นั้นมาจากหินอ่อนก้อนมหึมาที่ถูกทิ้งไว้กลางเมืองฟลอเรนซ์

- รูปปั้นเดวิด เป็นที่ฮือฮาของชาวเมืองเป็นอย่างมาก

- เขามีชื่อเสียงโด่งดังมากจากผลงานชิ้นนี้

- ว่ากันว่าเขาไม่ชอบหน้า ทาง เลโอนาร์โด ดาวินชี่ ซักเท่าไหร่ทั้งๆที่อายุก็ห่างกัน


   20 กว่าปี

- อาการประมาณว่า เสือ 2 ตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ทั้งคู่ต่างมีความเก่งกาจ ที่หาตัวจับยาก


   ในยุคนั้น

- ในช่วงนี้ (ค.ศ. 1497 - ค.ศ. 1500) เขาก็ได้สร้างประติมากรรมหินอ่อนอีกชิ้นหนึ่งที่มีชื่อว่า


   ปีเอตะ (Pieta)  ซึ่งปัจจุบันอยู่ในมหาวิหารนักบุญเปโตรที่กรุงโรม

- ปีเอตา ที่แปลว่า ความสงสาร คือหัวเรื่องของศิลปะในศาสนาคริสต์ที่เป็นรูปพระแม่มารีย์


   ประคองร่างพระเยซูที่เพิ่งอัญเชิญ ลงจากกางเขน ส่วนใหญ่จะพบในงานประติมากรรม

- เขาได้ถูกเชิญให้กลับมาที่กรุงโรม เพื่อออกแบบหลุมฝังศพให้กับสมเด็จพระสันตะปาปา-


   จูเลียสที่ 2 เมื่อตอนอายุได้ 30 ปี

-  ค.ศ. 1546 เขาเป็นสถาปนิกคนสำคัญในการสร้างมหาวิหารนักบุญเปโตรที่กรุงโรม 

- มหาวิหารนักบุญเปโตร เป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลก 

- เสียชีวิต 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 (88 ปี)


      ศิลปินที่มีความอัจฉริยะ ที่มีความรู้ 3 ศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก เขาไม่เป็นเพียงผู้ที่เข้าถึง

แต่เพียงศาสตร์ด้านวิจิตรศิลป์ แต่เขายังเข้าถึงความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรม และ

ประติมากรรมอีกด้วยเขายังเป็นผู้สร้างประติมากรรมหินอ่อนชื่อกระฉ่อนโลกนามว่า เดวิด (David)

ผลงานชิ้นสำคัญของ ไมเคิลแองเจโล (Michelangelo)
  
         โดยยุคสมัยที่งานศิลปะมีความงดงามยุคหนึ่งของโลกคือ ยุคเรอแนซ็องส์ (Renaissance) หรือยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ราวศตวรรษที่ 14 ถึงศตวรรษที่ 16  ในยุคเรอแนซ็องส์มีการสร้างงานศิลปะชื่อดังและก้องโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น งานประติมากรรม สถาปัตยกรรม จิตรกรรม หรือแม้แต่ด้านวิทยาศาสตร์ ในด้านของงานศิลปะ มีผลงานชิ้นสำคัญมากมายโดยเฉพาะผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น ไมเคิลแองเจนโล (Michelangelo) ผู้สร้างผลงานอมตะทั้งในด้าน ประติมากรรม จิตรกรรม และสถาปัตยกรรม ซึ่งผลงานชิ้นสำคัญของเขามีดังต่อไปนี้

ภาพปีเอตะ(Pietà) ณ มหาวิหารนักบุญเปโตร
งานประติมากรรมที่มีชื่อเสียงก้องโลกชิ้นหนึ่งชื่อว่า ปีเอตะ(Pietà) เป็นรูปสลักจากหินอ่อนบริสุทธิ์รูปพระแม่มาร์รีย์ประคองอุ้มร่างพระเยซูที่เพิ่งอัญเชิญลงจากไม้กางเขน   ซึ่งคำว่า ปีเอตะ(Pietà) ในภาษาอิตาลีมีความหมายว่า ความสงสาร  ผลงงานประติมากรรมดังกล่าวเป็นผลงานหนึ่งในชื้นเอกของ มีเกลันเจโล ดี โลโดวีโก บูโอนาร์โรตี ซีโมนี  (Michelangelo di Lodovico Buonarroti Simoni) หรือที่เรารู้จักกันในนาม ไมเคิลแองเจนโล  (Michelangelo)

โดยผลงานปีเอตะ(Pietà)  ถูกว่าจ้างโดยสำนักวาติกันแห่งกรุงโรม เพื่อให้มาประดิษฐานที่มหาวิหารนักบุญเปโตร   นอกจากผลงงานชื่อ ปีเอตะ (Pietà )แล้วนั้น  ไมเคิลแองเจนโลเองยังได้สร้างผลงงานชื่อก้องโลกที่เรารู้จักกันนาม รูปปั้นเดวิด(David) ซึ่งไมเคิลแองเจนโล สร้างรูปปั้นเดวิดจากหินก้อนขนาดมหึมาที่ถูกทิ้งร้างไว้กลางเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ประเทศอิตาลี   ทั้งทีผู้คนในเมืองต่างไม่กล้าไปยุ่งกับก้อนหินดังกล่าว หลังจากใช้เวลาถึง 3 ปีผลงานรูปสลักเดวิดก็เสร็จสมบูรณ์และเป็นที่กล่าวถึงไปทั่วอิตาลี ทำให้ไมเคิลแองเจนโลเป็นที่ร้จักในวงกว้างและมีงานว่าจ้างตามมาอีกมากมาย

รูปสลักเดวิด(David) Galleria dell'Accademia เมือง ฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี
เมื่ออายุได้ 30 ปี ไมเคิลแองเจนโล ถูกเชิญไปยังกรุงโรมเพื่อให้ออกแบบหลุมฝังพระศพของ สมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ซึ่งใช้เวลาถึง 40 ปี   หลังจากนั้นไมเคิลแองเจนโลได้แสดงอัจฉริยภาพทางการออกแบบ โดยการเป็นสถาปนิกคนสำคัญในการสร้างวิหารนักบุญเปโตร(Basilica of Saint Peter) รู้จักกันในนาม Basilica di San Pietro in Vaticano หรือ เซนต์ปีเตอร์สบาซิลิกา (Saint Peter's Basilica) เป็นวิหารใหญ่และสำคัญที่สุดในนครวาติกัน   โดยจุดสูงสุดของโดมสามารถมองเห็นทัศนียภาพของกรุงโรมได้โดยรอบ สามารถจุคนได้ถึง 60,000 คน และยังเป็นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่หนึ่งในคริสตจักรโรมันคาทอลิก ซึ่งวิหารนักบุญเปโตรถือเป็นงานสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลกเลยทีเดียว

มหาวิหารนักบุญเปโตรตอนกลางคืน
ในช่วงบั้นปลายชีวิตของไมเคิลแองเจนโลยังได้สร้างผลงานจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงมีชื่อว่า การตัดสินครั้งสุดท้าย (The Last Judgment) ซึ่งเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังบนเพดานของโบสถ์น้อยซิสติน (Sistine Chapel ceiling)  ซึ่งได้รับการว่าจ้างจากสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2  โดยเป็นที่ตั้งของห้องประชุมพระสันตะปาปาและสถานที่ที่ใช้ในการทำพิธีทางศาสนาของพระสันตะปาปาอีกด้วย การเขียนภาพจิตรกรรม การตัดสินครั้งสุดท้าย นั้นใช้เทคนิคที่เรียกว่า Fresco คือการวาดภาพลงบนผิวปูนเปียกเพื่อสีซึมลงไปในเนื้อปูนจะทำให้สีติดทนนานและไม่ร่อนออกมานั่นเอง โดยภาพ การตัดสินครั้งสุดท้าย ประกอบด้วยรูปภาพย่อยกว่า 400 รูปภาพ มีขนาด  48×44 ฟุต เลยทีเดียว

ภาพการตัดสินครั้งสุดท้าย ณ ชาเปลซิสติน นครรัฐวาติกัน
ไมเคิลแองเจนโลเสียชีวิตในปี 1564  ด้วยอายุ 90 ปี    มีคำกล่าวจากมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ว่า "ทรงยินดีบั่นทอนชีวิตของท่านลง เพื่อแลกกับชีวิตของมิเกลันเจโลให้ยืนยาวออกไปอีก"    แสดงให้เห็นว่าตลอดชั่วชีวิตของไมเคิลแองเจนโลนั้น ได้รังสรรค์ผลงานศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาไว้มาก ไม่ว่าจะเป็น ประติมากรรม  สถาปัตยกรรม จิตรกรรม ซึ่งต่างก็เป็นผลงานที่มีคุณค่าต่อมนุษยชาติมากมาย










ความรู้รอบตัว 141

ความรู้รอบตัว
1.ทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ทวีปเอเซีย 
2.ทวีปที่เล็กที่สุดในโลก - ทวีปออสเตรเลีย
3.คาบสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก - คาบสมุทรอาหรับ
4.มหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก - มหาสมุทรแปซิฟิก
5.มหาสมุทรที่เล็กที่สุดในโลก - มหาสมุทรแอนตาร์กติก
6.ทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ทะเลจีนใต้
7.ทะเลส่วนที่ลึกที่สุดในโลก - บริเวณChallenger ใกล้เกาะมาเรียนา ในมหาสมุทรแปซิฟิก
8.ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ทะเลสาบสุพีเรีย อยู่ระหว่างสหรัฐอเมริกา กับแคนาดา
9.ทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ทะเลสาบแคสเปียน อยู่ระหว่างทางใต้ของรัสเซียกับอิหร่าน

10.ทะเลสาบที่มีน้ำเค็มที่สุดในโลก - ทะเลสาบเดดซี อยู่ระหว่างอิสราเอลกับจอร์แดน
11.ทะเลสาบน้ำจืดที่ลึกที่สุดในโลก - ทะเลสาบไบคาล ในไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย
12.ทะเลสาบที่ตั้งอยู่สูงที่สุดในโลก - ทะเลสาบกัลลาเซียล ในธิเบต
13.ทะเลสาบที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ทะเลสาบมืด เหนือเขื่อนระหว่างรัฐเนวาดากับอริโซนา

14.อ่าวที่ใหญ่ที่สุดในโลก - อ่าวเม็กซิโก
15.ปากแม่น้ำที่กว้างที่สุดในโลก - ปากแม่น้ำออฟเฟน โพรเซ็น อ๊อป ประเทศรัสเซีย
16.แม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก - แม่น้ำไนล์ ทวีปแอฟริกา
17.แม่น้ำที่สั้นที่สุดในโลก - แม่น้ำดี ริเวอร์ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา
18.แม่น้ำที่กว้างที่กว้างที่สุดในโลก - แม่น้ำอเมซอน ทวีปอเมริกาใต้
19.แม่น้ำที่เกิดอุทกภัยมากที่สุดในโลก - แม่น้ำฮวงโหหรือแม่น้ำวิปโยค ประเทศจีน
20.คลองธรรมชาติที่ยาวที่สุดโลก - คลองยุ่นโห ประเทศจีน
21.คลองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก - คลองสุเอช
22.หมู่เกาะที่มีเกาะต่างๆอยู่หนาแน่นที่สุด - หมู่เกาะอินดีส
23.ช่องแคบที่ยาวที่สุดในโลก - ช่องแคบตาต้า
24.เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก - เกาะกรีนแลนด์ มหาสมุทรอาร์คติค
25.ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก - ยอดเขาเอเวอเรสต์
26.เทือกเขาที่ยาวที่สุดในโลก - เทือกเขาแอนดีส ทวีปอเมริกาใต้
27.ช่องแคบระหว่างภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ช่องแคบบนแกรนด์
แคนยอน รัฐอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา

28.ยอดภูเขาไฟที่สวยและสูงที่สุดในโลก - ภูเขาไฟฟูจิยามา ประเทศญี่ปุ่น
29.ทะเลทรายที่ใหญ่และร้อนที่สุด - ทะเลทรายซาฮาร่า ในแอฟริกาเหนือ
30.น้ำตกที่มีทัศนียภาพสวยงามและใหญ่ที่สุดในโลก - น้ำตกไนแองการา
อยู่ระหว่างสหรัฐอเมริกา และแคนาดา

31.น้ำตกที่สูงที่สุดในโลก - น้ำตกแองเจิล ประเทศเวเนซูเอลา
32.ประเทศที่มีเนื้อที่มากที่สุดในโลก - ประเทศรัสเซีย
33.ประเทศที่เล็กที่สุดในโลก - นครรัฐวาติกัน
34.ประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุด - ประเทศจีน
35.เมืองที่มีพลเมืองมากที่สุด - โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
36.ประเทศที่มีพลเมืองน้อยที่สุด - นครรัฐวาติกัน
37.ประเทศที่มีเกาะมากที่สุด - ฟิลิปปินส์
38.ประเทศที่มีทะเลสาบมากที่สุด - ฟินแลนด์
39.ประเทศที่มีภูเขาไฟมากที่สุด - อินโดนีเซีย
40.ประเทศที่อยู่สูงที่สุด - ธิเบต
41.ประเทศที่มีพื้นที่ต่ำที่สุด - อิสราเอล
42.ประเทศที่มีแผ่นดินไหวบ่อยที่สุด - ประเทศญี่ปุ่น
43.ประเทศที่มีภาษามากที่สุด - ประเทศอินเดีย
44.ประเทศที่มีเมืองขึ้นมากที่สุด - อังกฤษ
45.เมืองที่มีคลองมากที่สุด - เวนิส ประเทศอิตาลี
46.ประเทศที่ขุดแร่ดีบุกมากที่สุด - มาเลเซีย
47.ประเทศที่ปลูกกาแฟมากที่สุด - บราซิล
48.ประเทศที่ผลิตกระดาษมากที่สุด - แคนาดา
49.ประเทศที่ขุดเพชรได้มากที่สุด - สหภาพแอฟริกาใต้
50.ประเทศที่มีแร่เงินมากที่สุด - เม็กซิโก
51.ประเทศที่มียางพารามากที่สุด - มาเลเซีย
52.ประเทศที่มีทับทิมมากที่สุด - พม่า
53.ประเทศที่มีทองคำขาวมากที่สุด - สหภาพโซเวียตรัสเซีย
54.ประเทศที่มีแร่พลวงมากที่สุด - สาธารณรัฐประชาชนจีน
55.ประเทศที่ขุดสินแร่อลูมิเนียมได้มากที่สุด - สวิสเซอร์แลนด์
56.ประเทศที่ผลิตหินอ่อนมากที่สุด - อิตาลี
57.ประเทศที่ผลิตแร่ปรอทได้มากที่สุด - สเปน
58.ประเทศที่มีถ่านหินมากที่สุด - สหรัฐอเมริกา
59.ประเทศที่มีแมงกานีสมากที่สุด - อินเดีย
60.ประเทศที่ประดิษฐ์และส่งดาวเทียมประเทศแรก - สหภาพโซเวียตรัสเซีย
61.ประเทศที่ส่งมนุษย์อวกาศไปดวงจันทร์ได้สำเร็จประเทศแรก - สหรัฐอเมริกา
62.ประเทศที่จับปลาได้มากที่สุดในโลก - ญี่ปุ่น
63.ประเทศที่มีฟยอร์ดมากที่สุดในโลก - นอร์เวย์
64.ประเทศที่ผลิตเหล้าองุ่นมากที่สุด -ฝรั่งเศส
65.ประเทศที่ผลิตเบียร์มากที่สุด - เยอรมนี
66.ประเทศที่ปลูกอ้อยมากที่สุด - คิวบา
67.ประเทศที่มีต้นควินินมากที่สุด - อินโดนีเซีย
68.ประเทศที่ปลูกข้าวสาลีมากที่สุด - รัสเซีย
69.ประเทศที่ปลูกชามากที่สุด - สาธารณรัฐประชาชนจีน
70.ประเทศที่ปลูกฝ้ายมากที่สุด - สหรัฐอเมริกา
71.ประเทศที่มีข้าวเจ้าพันธุ์ดีที่สุด - ไทย
72.ประเทศที่มีแร่เหล็กมากที่สุด - สวีเดน
73.ประเทศที่เลี้ยงไหมมากที่สุด - จีน
74.ประเทศที่ผลิตนมมากที่สุด - สวิสเซอร์แลนด์
75.ประเทศที่ปลูกสับปะรดมากที่สุด - เกาะฮาวาย สหรัฐอเมริกา
76.ประเทศที่ปลูกส้มมากที่สุด - รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
77.ประเทศที่ผลิตพรมได้มากและคุณภาพดีที่สุด - เปอร์เซีย
78.ประเทศที่ขุดน้ำมันดิบส่งออกมากที่สุด - ซาอุดิอาระเบีย
79.ชาติที่ประดิษฐ์เข็มทิศใช้ในการเดินเรือเป็นชาติแรก - จีน
80.บัตรอวยพรอะไรที่มีเป็นอย่างแรก - บัตรอวยพรวันวาเลนไทน์
81.ศาสนาที่มีคนนับถือมากที่สุด - ศาสนาคริสต์
82.ศาสนาที่เก่าแก่ที่สุด - ศาสนาฮินดู
83.กำแพงที่ยาวที่สุด - กำแพงเมืองจีน
84.วัดที่ใหญ่ที่สุดในโลก - นครวัต ประเทศกัมพูชา
85.โรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก - โรงแรมลาสเวกัส ฮิลตัน รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา
86.ตึกที่สูงที่สุดในโลก - ตึกเซียส์ ที่ชิกาโก สหรัฐอเมริกา
87.ป่าที่ใหญ่ที่สุด - ป่ามหาวัน ประเทศอินเดีย
88.สะพานที่ยาวที่สุด - สะพานเซคอนด์ เลค พอนซาเทรน คอสเวย์ อยู่ที่ลอสแองเจลลิส สหรัฐอเมริกา

89.สะพานที่กว้างที่สุด - สะพานซิดนีย์ ฮาร์เบอร์ บริดจ์
90.สะพานแขวนที่ยาวที่สุด - สะพานพระราม9 กรุงเทพมหานคร
91.ทางรถไฟที่ยาวที่สุด - ทรานส์ไซบีเรีย
92.อุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุด - อุโมงค์ซิมพลอน
93.สถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุด - สถานีแกรนด์ เซนทรัล เทอร์มินอล
94.ถนนที่ยาวที่สุด - ถนนแพน-อเมริกัน ไฮเวย์
95.เครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุด - เครื่องบินเจ็ท โบอิ้ง747
96.เรือเดินสมุทรที่ใหญ่ที่สุด - เรือควีน อลิซาเบธ
97.เรือบรรทุกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุด - เรือซีวีส ไจเอ้น
98.ป่าที่ทึบที่สุดในโลก - ป่าเซลวาส ลุ่มแม่น้ำอเมซอน
99.ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุด - ต้นซานตา มาเรีย เด็ล ตูลี ในเม็กซิโก
100.ต้นไม้ที่อายุยืนที่สุดในโลก - ต้นสนPinus longaeva รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
101.ดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก - Arnold 's Rafflesia เกาะสุมาตรา
102.ปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ปิรามิดQuetzalcoatl
103.คุกที่แข็งแรงที่สุด - คุกอัลคาตราส ในซานฟรานซิสโก
104.จัตุรัสที่ใหญ่ที่สุด - จตุรัสเทียนอันเหมิง ปักกิ่ง
105.สิ่งก่อสร้างที่สวยงามที่สุด - สุสานหินอ่อนทัชมาฮาล เมืองอักรา ประเทศอินเดีย 106.ประเทศที่มีชื่อเสียงในการทำนาฬิกา - สวิสเซอร์แลนด์
107.ระฆังใบใหญ่ที่สุด - ระฆังซาร์โคโลโคล อยู่ที่ปราสาทอิวานเวลิกี้ พระราชวังเครมลิน มอสโคว สหภาพโซเวียต

108.เพชรเม็ดใหญ่ที่สุดในโลก - เพชรคุลลินาน
109.หอสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก - หอสมุดรัฐสภาอเมริกัน ในกรุงวอชิงตัน
110.นาฬิกาเรือนใหญ่ที่สุดในโลก - นาฬิกาบิกเบน กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
111.ดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุด - ดาวศุกร์
112.ดาวฤกษ์ดวงไหนมีแสงสว่างมากที่สุด - ดาวซิริอัส(Sirius) มีสีเขียวแกมน้ำเงิน
113.นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก - นางศิริมาโว บันดาราไนยเก ประเทศศรีลังกา
114.มนุษย์อวกาศคนแรกของโลก - ยูริ กาการิน ชาวรัสเซีย
115.มนุษย์อวกาศหญิงคนแรกของโลก - วาเลนตินา วลาดิมิโรฟนา เทเรสโกวา ชาวรัสเซีย
116.ผู้ที่เดินเรือรอบโลกเป็นคนแรก - แม็คเจลแลน
117.สัตว์ที่มีจำนวนมากที่สุด - แมลง
118.สัตว์ที่มีอายุยืนที่สุด - เต่าทะเล
119.สัตว์บกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด - ช้าง
120.สัตว์น้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุด - ปลาวาฬ
121.นกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด - นกกระจอกเทศ
122.สัตว์ที่มีเสียงดังที่สุด - ปลาวาฬสีน้ำเงิน
123.สัตว์ที่เตลื่อนที่ได้เร็วที่สุด - เหยี่ยวฟิรีกริน
124.สัตว์ที่เคลื่อนที่ได้ช้าที่สุด - ปู ในบริเวณทะเลแดง
125.นกที่มีอายุยืนที่สุด - กา
126.นกที่ตัวเล็กที่สุด - นกฮัมมิ่ง
127.นกที่บินเร็วที่สุด - นกอินทรี
128.นกที่มองได้ไกลที่สุด - เหยี่ยว
129.นกที่ตาไวที่สุด - แร้ง
130.สัตว์ที่สายตาสั้นและดุร้ายที่สุด - แรด
131.ปลาที่ร้ายกาจที่สุด - ปิรันยา
132.ไก่ที่ไข่ดกที่สุด - ไก่พันธุ์เล็กฮอร์น
133.ธาตุที่เบาที่สุด - ธาตุไฮโดรเจน
134. เนื้อที่ : ประเทศรัสเซีย เป็นประเทศที่มี เนื้อที่มากที่สุดในโลก ประมาณ 17,075,400 ตารางกิโลเมตร เนื้อที่น้อยที่สุด คือ นครรัฐ วาติกัน มี เพียง 0.44 ตารางกิโลเมตร

135. ระดับความสูงของที่ตั้งประเทศ :ประเทศธิเบตเป็นประเทศ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากที่สุดในโลก คือ สูงกว่า ระดับน้ำทะเล 12,087 ฟุต (3,626.1 เมตร) ส่วนประเทศที่ตั้งอยู่ต่ำ ที่สุด คือ ประเทศอิสราเอลบริเวณทะเล Death Sea ซึ่งต่ำกว่าระดับ น้ำทะเล 1,292 ฟุต (387.60 เมตร)

136. พรมแดนของประเทศ : ประเทศจีนมีพรมแดน ติดต่อกับ ประเทศเพื่อนบ้านมากที่สุดในโลกถึง 14 ประเทศ ส่วนพรมแดน รอยต่อประเทศที่ยาวที่สุดในโลก คือ พรมแดนระหว่างประเทศ สหรัฐอเมริกากับประเทศแคนาดา ที่ยาวถึง 3,987 ไมล์ หรือ ประมาณ 6,379 กิโลเมตร ส่วนพรมแดนที่สั้นที่สุดคือ พรมแดน ของประเทศอิตาลีกับนครรัฐวาติกัน ที่ยาวเพียง 2.53 ไมล์ หรือ ประมาณ 4.05 กิโลเมตรเท่านั้น

137. จำนวนประชากร : ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีประชากร มากที่สุดในโลก ราว 1,178.5 ล้านคน  อัตราการเกิด : ประเทศมาลาวี ทวีปแอฟริกา เป็นประเทศ ที่มีอัตราการเกิดมากที่สุด คือ ร้อยละ 5.5 ส่วนนครรัฐวาติกัน มี อัตราการเกิดน้อยที่สุด คือ มีอัตราการเกิดเป็น 0

138. อัตราการตาย : ประเทศอัฟกานิสถาน เป็นประเทศที่มีอัตรา การตายมากที่สุดคือ ร้อยละ 2.2 ส่วนคูเวตมีอัตราการการตายต่ำสุด เพียงร้อยละ 0.2 เท่านั้น

139. อายุเฉลี่ย : ประเทศที่จัดว่ามีประชากรอายุยืนที่สุด คือ ญี่ปุ่น ซึ่งมีอายุเฉลี่ย ชาย 76 ปี หญิง 82 ปี ส่วนประเทศที่ประชากรมี อายุเฉลี่ยต่ำสุด ได้แก่ ประเทศ เซียร์ราลีโอน เฉลี่ยชาย 41 ปี เฉลี่ยหญิง 45 ปี

140. ภาษาพูด : ประเทศอินเดียครองความเป็นเจ้าแห่งภาษา คือ มีภาษาพูดมากกว่า 840 ภาษา
141. เกาะ : ประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีเกาะมากที่สุด ในโลก คือ ประมาณ 13,000 เกาะ 

ฝรั่งเศสมี 13 แคว้นแล้วนะ

ฝรั่งเศสมี 13 แคว้นแล้วนะ